แนะนำลายละเอียด และ สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดเชียงใหม่
วัดพระธาตุดอยสุเทพ (Phra That Doi Suthep Temple) เป็นวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดในเชียงใหม่ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช ความโดดเด่นของวัดพระธาตุดอยสุเทพ เริ่มตั้งแต่ทางขึ้นพระธาตุซึ่งเป็นบันไดนาคเจ็ดเศียรก่อปูน และเมื่อเดินเข้าไปภายในวัด จะพบเจดีย์ทรงเชียงแสน ฐานสูง ย่อมุมระฆังทรงแปดเหลี่ยม ปิดด้วยทองจังโก 2 ชั้น ซึ่งก่อสร้างตามแบบศิลปะล้านนา อีกทั้งในบริเวณวัดยังเป็นจุดชมวิวเมืองเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจนอีกแห่งหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพยังมีการจัดงานประเพณีเตียวขึ้นดอย เพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุเป็นประจำทุกปี โดยจัดขึ้นในช่วงวันวิสาขบูชา ในงานจะมีขบวนแห่น้ำสำหรับสรงพระธาตุ โดยมีพระสงฆ์ สามเณร และพุทธศาสนิกชนจากชุมชนต่างๆ มาร่วมขบวนกันอย่างเนืองแน่น
สถานที่ตั้ง : อยู่ในเขตตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 14 กิโลเมตร
การเดินทาง รถส่วนตัวใช้เส้นทางถนนห้วยแก้ว-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่-สวนสัตว์ เชียงใหม่ จะมีทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพวรวิหารบริเวณนั้น ส่วนรถประจำทางจะมีรถสองแถวจอดอยู่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้านถนนห้วยแก้ว มีบริการระหว่าง 05.00-17.00 น.
การเดินทางเข้าชมพระธาตุดอยสุเทพมี 2 ทาง คือ
- บันใดนาค เป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของวัดพระธาตุดอยสุเทพ (Phra That Doi Suthep Temple) ที่นักท่องเที่ยวมักจะถ่ายรูปกันบริเวณนี้ และบริเวณบันไดนาคด้านล่างจะมีร้านขายของที่ระลึกจำนวนมาก
- รถรางไฟฟัาเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น. ในราคาขึ้น-ลง คนละ 20 บาท(สำหรับคนไทย) และ 50 บาท (สำหรับชาวต่างชาติ) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการขึ้นลงได้มาก
อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ดอยปุย


เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ แม่ริม และหางดง ของจังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ทั้งหมด 163,162.5 ไร่หรือประมาณ 261 ตารางกิโลเมตร จุดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติอยู่บริเวณที่เรียกว่า ดอยปุย ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,685 เมตร อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ประกอบด้วยป่าที่อุดมสมบูรณ์ แม้ว่าจะตั้งอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่มาก แต่ป่าส่วนใหญ่อยู่บนภูเขาสูงสลับซับซ้อน ภูเขาสำคัญได้แก่ ดอยสุเทพ ดอยปุย เป็นต้น นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญ 2 แห่งได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร และพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
( ภูมิอากาศ )
เนื่องจากอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ดอยปุย มีลักษณะเป็นภูเขาซับซ้อนและมียอดเขาสูง ทำให้อากาศเย็นสบายตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 16 องศาเซลเซียส ในฤดูหนาวอากาศจะหนาวมาก ในเดือนกุมภาพันธ์ อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าแจ่มใส ทำให้มองเห็นภูมิประเทศได้โดยรอบอย่างชัดเจน ส่วนในฤดูฝน อากาศเย็นสบาย ฝนตกมากที่สุดในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ในฤดูร้อนอากาศไม่ค่อยร้อนอบอ้าว
และภายในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ดอยปุย ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้นหลายแห่ง ดังนี้
- น้ำตกห้วยแก้ว – เป็นน้ำตกในลำห้วยแก้ว บริเวณเชิงดอยใกล้ทางขึ้นดอยสุเทพ และเหนือน้ำตกห้วยแก้วขึ้นไปเล็กน้อยจะเป็น วังบัวบาน
- น้ำตกมณฑาธาร หรือ น้ำตกสันป่ายาง – เป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม มีชั้นน้ำตก 3 ชั้น เป็นส่วนหนึ่งของลำห้วยแก้ว ตั้งอยู่เหนือน้ำตกห้วยแก้วขึ้นไป
- น้ำตกแม่สา – เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ชั้นน้ำตกมีถึง 10 ชั้น แต่ละชั้นมีระยะห่างประมาณ 100–500 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของลำน้ำแม่สา การเดินทางไปน้ำตกมีความสะดวก มีน้ำไหลตลอดปี
- นอกจากนี้ยังมีน้ำตกอื่น ๆ ได้แก่ น้ำตกตาดหมอก-วังฮาง น้ำตกตาดหมอกฟ้า น้ำตกมหิดล น้ำตกศรีสังวาลย์ น้ำตกผาลาด เป็นต้น
- ภูมิประเทศรูปทรงหน้าผา ประกอบด้วย ผาเงิบ ผาลาด ผาวังบัวบาน ผาดำ เป็นผาที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ต่าง ๆได้สวยงาม เช่น ทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่
- ยอดดอยปุย – อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,685 เมตร ที่บริเวณแห่งนี้จะเป็นป่าสนเขา สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้โดยรอบ จะมีลมพัดแรง อากาศเย็นสบาย
- หมู่บ้านชาวเขา – สำหรับผู้สนใจวัฒนธรรมของชาวเขา สามารถเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ได้ เช่น ชาวม้ง เย้า อาข่า ลีซอ มูเซอ สามารถเดินทางเข้าถึงได้ทุกชุมชน
5 ตลาดกลางคืนเมื่อไป เชียงใหม่
ถนนวัวลาย

พ่อค้าแม่ค้า เป็นคนพื้นเมืองที่อยู่ในบริเวณถนนวัวลายส่วนใหญ่ ทำให้มีขนาดเล็กกว่าถนนคนเดินท่าแพ
กาดต้อนกอง

“กาดต้อนกอง” เป็นรูปแบบการค้าขายสินค้าภายในชุมชนของชาวล้านนาในอดีต ที่มีพ่อค้าแม่ค้าหาบของเดินเข้ามาขายภายในหมู่บ้านก็จะพากันดักซื้อเป็นจุด ๆ เรียกว่า “ต้อนกอง” เพื่อให้คนได้ซื้อหาสินค้า และส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าก็จะอาศัยจุดพักที่หน้าวัดเป็นที่พักระหว่างการเดินทาง ภายหลังจึงก่อกำเนิดเป็นตลาดชุมชนขึ้นและได้พัฒนาขึ้นเป็น “กาดก้อม” หรือ “กาดต้อนกอง”
กาดต้อนกอง ณ หมู่บ้านสันทรายต้นกอก หมู่ ๗ ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมือง เชียงใหม่
หมู่บ้านสันทรายต้นกอกตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 200 ปี มาแล้วโดยราษฎรที่เข้าอาศัยกลุ่มแรกเป็นเชื้อสายเจ้าคุ้มเวียงเชียงใหม่และชาวพื้นเมืองซึ่งเป็นชาวเขินได้อพยพมาจากบ้านเมืองลัง และบ้านหนองไคร้ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ บริเวณโดยรอบที่ตั้งของหมู่บ้านในปัจจุบัน และราษฎรเหล่านี้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงได้ร่วมกันจัดหาที่ดินและร่วมกันก่อสร้างวัดขึ้นมาเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ถนน คนเดินสันกำแพง

สันกำแพง อู่อารยธรรมของอาณาจักรล้านนาตอนต้น ได้ปรากฏนามบนแผ่นดินเมื่อครั้งรัชสมัย พระยอดเชียงราย หรือ พระเจ้าศรีสัทธัมมังกรู แห่งราชวงศ์มังราย (พ.ศ. 2030- 2034) เมื่อมีการค้นพบหลักศิลาจารึกที่เรียกขานกันในภายหลังว่า จารึกหมื่นดาบเรือน และจารึกบนฐานพระพุทธรูปพระเจ้าฝนแสนห่า ความเจริญด้านอารยธรรมและวัฒนธรรมของสันกำแพงจึงบังเกิดมานับแต่นั้น และด้วยพระอุปถัมภ์ค้ำจุนพุทธศาสนาของพระมหากษัตริย์ตลอดราชวงศ์มังราย ประกอบกับความอุดมสมบูรณ์ของทิวเขา แนวป่า สันกำแพงจึงเป็นแหล่งอารยธรรมฐานรากของล้านนาที่เข้มแข็ง ซึ่งหลอมรวมความงดงามแห่งธรรมชาติเข้าและวิถีชีวิตของผู้คน ให้กลายเป็น ศิลปะอันประณีต ซึ่งเป็นความประณีตทั้งศิลปะในเชิงช่าง และความประณีตในวิถีชีวิตที่สืบสายกันมาแต่บรรพชน จนอาจกล่าวได้ว่า หากย้อนกลับไปเมื่อราว 40 ปีก่อน “สันกำแพง” คือนิยามความหมายเดียวกับ “เชียงใหม่” และถนนทุกสายที่มุ่งมา “เชียงใหม่” จะต้องผ่านและสัมผัสกับ ”สันกำแพง” ประตูบานแรกของเชียงใหม่ เพื่อที่จะได้รู้จักและสัมผัสในความเป็น “ล้านนา” พร้อมๆ กับชื่อสียงของงงานหัตถกรรม หัตถศิลป์ ที่เลื่องชื่อ แต่ด้วยความเจริญอย่างรวดเร็วของการคมนาคมขนส่ง ถนนที่เคยนำนักท่องเที่ยวมาเยือนสันกำแพงเมื่ออดีตกลับกลายเป็นถนนสายเล็กๆ ที่เริ่มหมดความสำคัญ เพราะถนนที่จะมุ่งสู่เชียงใหม่มีได้อีกหลายเส้นทางโดยไม่ต้องผ่านอู่อารยธรรมฐานรากแห่งล้านนา ความซบเซามาเยือนสันกำแพงเมื่อนักท่องเที่ยวต่างไม่เคยแวะ วิถีชุมชนที่งดงามและเอื้ออารีในการต้อนรับอาคันตุกะกลับร้างราเมื่อไม่มีผู้มาเยือน แต่สิ่งที่ยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่นและเข้มแข็งก็คือ “ภูมิปัญญา” แก่นแท้แห่งอารยธรรมสันกำแพง ศิลปินพื้นเมืองที่ยังคงมีฝีมือเชิงช่างอันประณีต และสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ในสันกำแพง จวบจนวัน
เชียงใหม่ไนท์บาซาร์

เชียงใหม่ไนท์บาซาร์ เป็นแหล่งช้อปปิ้งกลางคืนที่มีชื่อเสียงของเชียงใหม่และมีมานานหลายปีแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ที่มาเที่ยวและซื้อของกันที่นี่ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่นี่มีขายสินค้าหลากหลายตลอดสองข้างทาง เช่น สินค้าพื้นเมือง เสื้อผ้า เครื่องเงิน ภาพวาด รองเท้า ผ้า กระเป๋าเดินทาง ของที่ระลึก ส่วนของกินมีร้านอาหารนานาชาติมากมาย มีศูนย์อาหาร มีลานเบียร์ มีลานงานแสดง มีบริการนวด สปา เป็นต้น
เชียงใหม่ไนท์บาซาร์ เปิดทุกวัน แต่ในวันเสาร์ และ วันอาทิตย์ คนจะค่อนข้างน้อย เพราะนักท่องเที่ยวไปเดินที่ถนนคนเดินวัวลาย และ ถนนคนเดินท่าแพแทน
ถนนคนเดินท่าแพ

ถนนคนเดินท่าแพ เป็นถนนคนเดินที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เป็นถนนคนเดินที่เปิดขายเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น โดยเปิดตั้งแต่ 18.00 – 22.00 น. ที่ตั้งของถนนคนเดินท่าแพ จะเริ่มจากประตูท่าแพ ยาวออกไปทางถนนราชดำเนิน จนถึงวัดพระสิงห์ รวมระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ในวันที่มีถนนคนเดิน ถนนจะปิดห้ามรถวิ่ง
10 น้ำพุร้อนทั่วภาคเหนือ อาบน้ำแร่แช่ออนเซ็นสุดชิลล์ หนาวนี้ห้ามพลาด!
อากาศหนาวๆ แบบนี้ คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้อาบน้ำแร่แช่ออนเซ็น ใครมีแพลนไปเที่ยวจังหวัดทางภาคเหนือ ต้องแวะไปคลายหนาวกันที่น้ำพุร้อน 10 แห่งนี้ บอกเลยว่าเหมือนได้ออนเซ็นที่ญี่ปุ่นยังไงอย่างงั้น!
1.น้ำพุร้อนฝาง จ.เชียงใหม่
“น้ำพุร้อนฝาง” ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมาก บ่อน้ำพุร้อนมีมากกว่า 50 บ่อ กระจายไปทั่วพื้นที่ และมีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันไป อุณหภูมิสูงประมาณ 90 องศาเซลเซียส มีบริการบ่อแช่น้ำแร่อาบน้ำแร่แบบส่วนตัว อุณหภูมิอุ่นพอดีช่วยให้สบายตัวและดีต่อผิวพรรณ นอกจากนี้ยังมีบ่อต้มไข่ไว้ให้อิ่มอร่อยกันอีกด้วย
2.โป่งเดือดป่าแป๋ จ.เชียงใหม่
“โป่งเดือดป่าแป๋” ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง เป็นน้ำพุร้อนแบบไกเซอร์ คือน้ำจะพุ่งออกมาบนผิวดินเป็นครั้งคราว บ่อมีขนาดใหญ่ อุณหภูมิประมาณ 170-200 องศาเซลเซียส แน่นอนว่าห้ามพลาดการเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติ รวมถึงการอาบน้ำแร่ อบไอแร่ ให้สบายตัวสบายใจ
3.น้ำพุร้อนสันกำแพง จ.เชียงใหม่
น้ำพุร้อนชื่อดังของเชียงใหม่ ที่ใครก็อยากจะแวะไปเที่ยว “น้ำพุร้อนสันกำแพง” ที่นี่มีน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งสูงขึ้นเหนือพื้นดินหลายเมตร ดูสวยงาม มีบ่อสำหรับต้มไข่ รวมถึงธารน้ำแร้ร้อนให้นั่งแช่เท้า บ่อน้ำแร่สำหรับแช่ตัว รวมถึงบริการนวดแผนโบราณ นอกจากนี้สวนดอกไม้ที่มีต้นไม้ร่มรื่นและสนามหญ้าสีเขียว ให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง
4.โป่งน้ำร้อนท่าปาย จ.แม่ฮ่องสอน
“โป่งน้ำร้อนท่าปาย” เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง อยู่ใกล้ตัวเมืองปาย เหมาะกับการอาบน้ำแร่แบบธรรมชาติท่ามกลางป่าเขาและอากาศที่หนาวเย็น โป่งน้ำร้อนมีจำนวน 2 บ่อ และมีน้ำผุดอยู่หลายจุด สามารถลงอาบน้ำแร่ แช่ตัว หรือแช่เท้าได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำไข่ไปต้มรับประทานได้อีกด้วย
5.น้ำพุร้อนไทรงาม จ.แม่ฮ่องสอน
ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Unseen ใน อ.ปาย เลยก็ว่าได้ “น้ำพุร้อนไทรงาม” เป็นน้ำพุร้อนที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการแช่ตัว เพราะอุณหภูมิน้ำไม่ร้อนมาก ทำให้แช่แล้วสบายตัว อีกทั้งน้ำที่มีสีเขียวใสมรกต ทำให้คนที่ไปเที่ยวจะต้องปลื้มใจทุกราย
6.น้ำพุร้อนเวียงป่าเป้า จ.เชียงราย
หากใครเดินทางไปจังหวัดเชียงรายด้วยทางหลวงหมายเลข 118 จากจังหวัดเชียงใหม่ ห้ามพลาดแวะกันที่ “น้ำพุร้อนเวียงป่าเป้า” เป็นน้ำพุร้อนทีเกิดขึ้นตามธรรมชาติ อุณหภูมิสูงประมาณ 90 องศาเซลเซียส สามารถต้มไข่ และผ่อนคลายแช่เท้า บริเวณน้ำพุยังเป็นตลาดขายของฝากของที่ระลึก และมีร้านอาหารบริการ เหมาะกับการแวะพักเหนื่อยจากการเดินทางไกล
7.น้ำพุร้อนผาเสริฐ จ.เชียงราย
“น้ำพุร้อนผาเสริฐ” ตั้งอยู่ริมลำห้วยโป่งน้ำร้อน ห่างจากแม่น้ำกก 300 เมตร มีบ่อน้ำร้อนซึ่งมีอุณหภูมิกว่า 90 องศาเซลเซียส มีบ่อสำหรับต้มไข่ รวมถึงใครที่อยากสปามีบ่อน้ำแร่ซึ่งสามารภแช่ตัวได้ และบ่อสำหรับแช่เท้า รวมถึงมีพื้นที่สำหรับกางเต็นท์พักแรม และใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวคือ หมู่บ้านกระเหรี่ยมรวมมิตร อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก และปางช้างผาเสริฐ
8.บ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยม จ.เชียงราย
หากได้ล่องเรือเที่ยวตามน้ำกก “บ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยม” เป็นสถานที่ห้ามพลาด เพราะตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติลำน้ำกก ริมแม่น้ำกกเลยทีเดียว เป็นน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาตามธรรมชาติ ขนาดของบ่อกว้าง 5 เมตร มีไอร้อนระอุลอยขึ้นมาเหนือบ่อมองดูแล้วสวยงามมาก ที่นี่ยังมีบ่อสำหรับแช่โดเฉพาะ และมีสระน้ำอุ่น รวมถึงลานกางเต็นท์พักแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
9.น้ำพุร้อนแม่กาษา จ.ตาก
“น้ำพุร้อนแม่กาษา” อยู่ในหมู่บ้านแม่กาษา อ.แม่สอด มีอยู่จำนวน 2 บ่อ ลักษณะเป็นน้ำพุขนาดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาจากดิน อุณหภูมิประมาณ 70 องศาเซลเซียส นอกจากการต้มไข่รับประทานแล้ว ยังมีบ่อน้ำร้อนบริการให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปแช่ รวมถึงห้องอาบน้ำร้อน และบริการนวดแผนไทย
10.น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน จ.ลำปาง
“น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน” ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ในผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีความสวยงามแปลกตา บ่อน้ำร้อนจำนวน 9 บ่อ ตั้งอยู่กระจายในบรอเวณพื้นที่ 3 ไร่ มีโขกหินน้อยใหญ่ประจัดกระจาย และมีไอน้ำลอยขึ้นจากบ่อลักษณะเหมือนเป็นหมอกปกคลุมไปทั่ว กิจกรรมที่ห้ามพลาดเมื่อไปที่นี่ก็คือการต้มไข่ไก่และไข่นกกระทาในน้ำพุร้อน และการลงไปแช่น้ำแร่ ( หรือออนเซ็นภาคเหนือของเราให้สะบายอุรา )